(แฟ้มภาพซินหัว : โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารที่สนามกีฬาแคปิตอล วัน อารีนา ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ของสหรัฐฯ วันที่ 20 ม.ค. 2025)
นิวยอร์ก, 22 ม.ค. (ซินหัว) -- เมื่อวันอังคาร (21 ม.ค.) เดอะ นิวยอร์ก ไทม์ส อ้างอิงกลุ่มนักวิเคราะห์รายงานว่ากรณีโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สั่งยกเลิกมาตรการลดหย่อนภาษีจากการซื้อยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ยกเลิกเงินสนับสนุนจากรัฐบาลกลางสำหรับจุดชาร์จไฟ รวมถึงยกเลิกเงินอุดหนุนและสินเชื่อเพื่อช่วยปรับสายการประกอบและสร้างโรงงานแบตเตอรี่ อาจทำให้กลุ่มผู้ผลิตยานยนต์ในสหรัฐฯ เสียเปรียบหากต้องลดขนาดโครงการยานยนต์ไฟฟ้าของตนเอง ขณะกลุ่มผู้ผลิตยานยนต์ในเอเชียและยุโรปเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง
รายงานระบุว่าปัจจุบันยอดจำหน่ายยานยนต์ในจีนราวร้อยละ 50 เป็นยานยนต์ไฟฟ้าหรือยานยนต์ไฮบริดแบบปลั๊กอิน และบรรดาผู้ผลิตยานยนต์ของจีนอย่างบีวายดี (BYD) กำลังจำหน่ายยานยนต์ทั่วโลกมากขึ้น ซึ่งดึงลูกค้าจากบริษัทยานยนต์เก่าแก่ รวมถึงกลุ่มผู้ผลิตในสหรัฐฯ โดยเชย์ นาทาราจัน หุ้นส่วนของโมบิลิตี อิมแพค พาร์ทเนอร์ส (Mobility Impact Partners) บริษัทหลักทรัพย์เอกชนที่ลงทุนด้านการขนส่งที่ยั่งยืน มองว่าผลกระทบจากสภาวะนี้จะมีนัยสำคัญอย่างมาก
นาทาราจันเสริมว่าหากความต้องการยานยนต์ไฟฟ้าลดลงเหมือนที่เกิดขึ้นในประเทศอื่นๆ อย่างเยอรมนีหลังจากตัดลดสิ่งจูงใจ เหล่าผู้ผลิตยานยนต์อาจเผชิญภาวะโรงงานยานยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่มีต้นทุนสูงและดำเนินงานได้อย่างไม่เต็มประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ดี กลุ่มตัวแทนอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลต่างยินดีกับคำสั่งของทรัมป์ สวนทางกับกลุ่มนักสิ่งแวดล้อมที่ต่างเสียใจและชี้ว่านี่เป็นอุปสรรคใหญ่หลวงต่อความพยายามลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมลพิษทางอากาศในเมืองที่เกิดจากยานยนต์
แคทเธอรีน การ์เซีย ผู้เชี่ยวชาญด้านการขนส่งจากเซียร์รา คลับ (Sierra Club) กล่าวว่าการย้อนกลับความพยายามลดปล่อยมลพิษจากยานยนต์เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เงินในกระเป๋า และสภาพภูมิอากาศ