ปักกิ่ง, 24 ก.ย. (ซินหัว) -- เมื่อวันจันทร์ (23 ก.ย.) หลินเจี้ยน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน กล่าวว่าสหรัฐฯ จำเป็นต้องยุติความหมกมุ่นในการครองอำนาจสูงสุดและจำกัดจีน และยุติการใช้กลุ่มประเทศระดับภูมิภาคมาเป็นเครื่องมือ
หลินกล่าวข้อความข้างต้นหลังจากกรณีที่โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวอ้างในการประชุมสุดยอดกลุ่มควอด (the Quad) ที่สหรัฐฯ เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่าจีนยังคงดำเนินการอย่างก้าวร้าว และกำลังท้าทายสหรัฐฯ และพันธมิตรในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก
หลินระบุว่าควอดถือเป็นกลุ่มระดับภูมิภาคที่มีบทบาทสำคัญในกลยุทธ์อินโด-แปซิฟิกของสหรัฐฯ และเป็นเครื่องมือที่สหรัฐฯ ใช้เพื่อจำกัดจีนและรักษาอำนาจครอบงำ
"กลยุทธ์อินโด-แปซิฟิก" ของสหรัฐฯ พยายามรวบรวมกำลังเพื่อกีดกันและจำกัดจีนโดยการบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ "ภัยคุกคามจากจีน" ขณะที่กลุ่มควอดพยายามรวบรวมความร่วมมือด้านการทหารและความมั่นคงภายใต้ข้ออ้างเรื่องปัญหาทางทะเล ซึ่งทั้งสองต่างมีเจตนาและกลยุทธ์เดียวกัน
หลินระบุว่าแม้สหรัฐฯ จะอ้างว่าตนไม่ได้มุ่งเป้าไปที่จีน ทว่าหัวข้อแรกของการประชุมสุดยอดดังกล่าวกลับเกี่ยวข้องกับจีน และจีนกลายเป็นประเด็นตลอดการประชุมนี้ พร้อมชี้ว่าสหรัฐฯ กำลังโกหกอย่างโจ่งแจ้ง ทำให้แม้แต่สื่อของสหรัฐฯ เองยังไม่เชื่อคำโกหกเหล่านี้
หลินกล่าวว่าจีนเชื่อมั่นว่าความร่วมมือระหว่างประเทศไม่ควรมุ่งเป้าไปยังฝ่ายที่สามหรือเป็นอันตรายต่อผลประโยชน์ของพวกเขา แผนริเริ่มระดับภูมิภาคไม่ว่าแบบใดก็ตามควรดำเนินตามกระแสหลักในภูมิภาคนั้น พร้อมส่งเสริมสันติภาพ เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาค
หลินย้ำว่าการรวมตัวเพื่อจัดตั้งกลุ่มพิเศษนั้นบ่อนทำลายความไว้วางใจและความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาค ขัดต่อกระแสหลักในการแสวงหาสันติภาพ การพัฒนา ความร่วมมือ และความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และสิ่งเหล่านี้จะล้มเหลวอย่างแน่นอน
ทั้งนี้ หลินระบุว่าสหรัฐฯ จำเป็นต้องยุติความหมกมุ่นในการครองอำนาจสูงสุดและจำกัดจีน ยุติการใช้ประเทศในภูมิภาคเป็นเครื่องมือ หยุดบิดเบือนเจตนาเชิงกลยุทธ์ที่อยู่เบื้องหลังกลุ่มพิเศษทุกประเภท และดำเนินการตามคำกล่าวอ้างที่ว่าการฟื้นฟูพันธมิตรไม่ได้มุ่งเป้าไปที่จีน แทนที่จะแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ด้านความมั่นคงเชิงกลยุทธ์ของประเทศอื่นและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนในเอเชียแปซิฟิก
(แฟ้มภาพซินหัว : ธงชาติจีนและธงชาติสหรัฐฯ ในกรุงวอชิงตันดี.ซี. ของสหรัฐฯ วันที่ 24 ก.ย. 2015)