(แฟ้มภาพซินหัว : คนเดินผ่านหน้าร้านขายของชำแห่งหนึ่งในนครนิวยอร์กของสหรัฐฯ วันที่ 11 ธ.ค. 2024)
วอชิงตัน, 1 พ.ค. (ซินหัว) -- สำนักวิเคราะห์เศรษฐกิจของสหรัฐฯ รายงานว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของสหรัฐฯ ในไตรมาสแรก (มกราคม-มีนาคม) หดตัวร้อยละ 0.3 เมื่อเทียบปีต่อปี หลังจากขยายตัวร้อยละ 2.4 ในไตรมาสสุดท้าย (ตุลาคม-ธันวาคม) ของปี 2024 โดยนโยบายภาษีศุลกากรใหม่เพิ่มความไม่แน่นอนและบั่นทอนความเชื่อมั่น
รายงานระบุว่าการลดลงของจีดีพีที่แท้จริงในไตรมาสแรกสะท้อนการเพิ่มขึ้นของการนำเข้า ซึ่งเป็นผลลบในการคำนวณจีดีพี กอปรกับการลดลงของการใช้จ่ายของรัฐบาล โดยปัจจัยเหล่านี้ถูกชดเชยบางส่วนด้วยการเพิ่มขึ้นของการลงทุน การใช้จ่ายของผู้บริโภค และการส่งออก
การส่งออกสุทธิลดลงจากจีดีพี 4.83 จุด ถือเป็นจำนวนสูงสุดเท่าที่เคยบันทึกไว้ ซึ่งบ่งชี้ความพยายามของบริษัทต่างๆ ในการกักตุนสินค้าท่ามกลางกระแสกังวลเกี่ยวกับภาษีศุลกากรที่สูงขึ้นในอนาคต ขณะการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่คิดเป็นสองในสามของจีดีพีนั้นเติบโตร้อยละ 1.8 ซึ่งช้ากว่าการเติบโตร้อยละ 4.0 ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2024 อย่างมาก โดยการใช้จ่ายของผู้บริโภคมีส่วนส่งเสริมจีดีพีในไตรมาสแรกราว 1.21 จุด ส่วนการใช้จ่ายของรัฐบาลกลางลดลงร้อยละ 5.1 ลดลงจากจีดีพีในไตรมาสแรก 0.33 จุด
ทั้งนี้ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้สั่งจัดเก็บภาษีศุลกากรกับคู่ค้าหลายราย ซึ่งทำให้บรรดานักเศรษฐศาสตร์หลายคนผิดหวัง เนื่องจากพวกเขาเชื่อว่าการเพิ่มภาษีศุลกากรจะส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัว
แกรี ไคลด์ ฮัฟเบาเออร์ นักวิชาการอาวุโสของสถาบันปีเตอร์สันเพื่อเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ บอกกับสำนักข่าวซินหัวว่านโยบายภาษีศุลกากรกำลังสร้างความไม่แน่นอนให้กับบรรดาซีอีโออย่างมาก พวกเขาไม่เพียงกังวลเกี่ยวกับห่วงโซ่อุปทานและลูกค้าของตนเอง ยังรวมถึงผลกระทบต่อส่วนอื่นๆ ของเศรษฐกิจด้วย
ฮัฟเบาเออร์เสริมว่ากลุ่มซีอีโอจึงชะลอการตัดสินใจลงทุน ขณะเดียวกันความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลงอย่างมาก ซึ่งคาดว่าผู้บริโภคจะเลื่อนการซื้อสินค้าราคาแพงออกไป โดยการรวมกันของปัจจัยเหล่านี้บ่งชี้แนวโน้มเศรษฐกิจถดถอยในช่วงครึ่งหลังของปี 2025