(แฟ้มภาพซินหัว : อาคารรัฐสภาสหรัฐฯ ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมืองหลวงของสหรัฐฯ วันที่ 23 เม.ย. 2024)
วอชิงตัน, 1 มี.ค. (ซินหัว) -- เมื่อวันศุกร์ (28 ก.พ.) กระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ ระบุว่ากระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ อนุมัติการจำหน่ายอาวุธให้กับอิสราเอลมูลค่าราว 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.03 แสนล้านบาท)
การจำหน่ายอาวุธดังกล่าวแจ้งต่อสภาคองเกรสภายใต้กระบวนการฉุกเฉิน จึงไม่ได้ผ่านกระบวนการตรวจสอบตามปกติ
กระทรวงการต่างประเทศระบุว่าได้อนุมัติข้อตกลงจัดจำหน่ายอาวุธให้กับอิสราเอล มูลค่า 2.04 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6.98 หมื่นล้านบาท) ซึ่งรวมถึงหัวรบระเบิดทั่วไปจำนวน 35,529 ลูกสำหรับระเบิด 2,000 ปอนด์ (ราว 907 กิโลกรัม) และหัวรบทำลายบังเกอร์ขนาด 2,000 ปอนด์ อีก 4,000 ลูก
แถลงการณ์จากกระทรวงกลาโหมคาดว่าจะเริ่มการส่งมอบอาวุธในปี 2026 แต่มีความเป็นไปได้ว่าอาวุธบางส่วนอาจมาจากคลังของสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้สามารถส่งมอบอาวุธบางส่วนได้ทันที
ส่วนข้อตกลงฉบับที่สองในการจัดหาระเบิดขนาด 1,000 ปอนด์ (ราว 454 กิโลกรัม) และชุดนำวิถี มูลค่า 675.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.3 หมื่นล้านบาท) มีกำหนดส่งมอบในปี 2028 และข้อตกลงฉบับที่สามในการจัดหารถเกรดดิน รุ่นดี9 (D9) ของบริษัทคาเทอร์พิลลาร์ (Caterpillar) มูลค่า 295 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.01 หมื่นล้านบาท) มีกำหนดส่งมอบในปี 2027
การอนุมัติจำหน่ายอาวุธให้กับอิสราเอลในกรณีฉุกเฉินครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่สองในเดือนกุมภาพันธ์ โดยที่ไม่ผ่านการตรวจสอบของสภาคองเกรส
อนึ่ง การจำหน่ายอาวุธของสหรัฐฯ เกิดขึ้นหลังจากมีการหยุดยิงเมื่อเดือนมกราคม ซึ่งทำให้การสู้รบระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสหยุดลงชั่วคราว หลังจากดำเนินมายาวนาน 15 เดือน
เมื่อวันศุกร์ (28 ก.พ.) แหล่งข่าวด้านความมั่นคงของอียิปต์ให้ข้อมูลกับสำนักข่าวซินหัวว่าในการเจรจา ณ กรุงไคโรของอียิปต์ คณะผู้แทนของอิสราเอลได้เสนอให้ขยายข้อตกลงหยุดยิงระยะแรกในกาซาออกไปอีก 42 วัน ทว่ายังไม่ได้หารือถึงข้อตกลงระยะที่สองซึ่งมีเป้าหมายยุติสงครามในกาซาและรับรองการถอนกำลังของอิสราเอลออกจากฉนวนกาซาอย่างสมบูรณ์
ด้านกลุ่มฮามาสออกมาเรียกร้องประชาคมระหว่างประเทศกดดันให้อิสราเอลเข้าสู่ระยะที่สองของข้อตกลงสันติภาพในกาซาทันที ขณะที่ระยะแรกของข้อตกลงสามระยะ ซึ่งกินเวลา 42 วัน มีกำหนดสิ้นสุดในวันเสาร์ (1 มี.ค.)