(แฟ้มภาพซินหัว : ธงชาติจีนและธงชาติสหรัฐฯ)
ปักกิ่ง, 1 มี.ค. (ซินหัว) -- เมื่อวันศุกร์ (28 ก.พ.) หลินเจี้ยน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน กล่าวว่าจีนไม่พอใจและคัดค้านอย่างหนักแน่นต่อคำขู่ของสหรัฐฯ ในการจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มอีกร้อยละ 10 ภายใต้ข้ออ้างเรื่องยาเฟนทานิล และจะดำเนินทุกมาตรการที่จำเป็นเพื่อปกป้องผลประโยชน์อันชอบธรรมของจีน
ระหว่างการแถลงข่าวประจำวัน หลินระบุว่าจีนกล่าวซ้ำหลายครั้งแล้วว่าไม่มีผู้ชนะในสงครามการค้าหรือสงครามภาษีศุลกากร การจัดเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติมฝ่ายเดียวของสหรัฐฯ ละเมิดกฎระเบียบขององค์การการค้าโลกอย่างร้ายแรง และเป็นอันตรายต่อผลประโยชน์ของทั้งสองประเทศและทั่วโลก
หลินแสดงความเห็นเกี่ยวกับข้อเสนอของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กรณีการจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มอีกร้อยละ 10 ในสัปดาห์หน้าว่าสหรัฐฯ ใช้ประเด็นเฟนทานิลเป็นข้ออ้างขู่ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนอีกครั้ง
หลินระบุว่าเรื่องยาเฟนทานิลนั้นเป็นปัญหาของสหรัฐฯ เอง และก่อนหน้านี้จีนได้สนับสนุนการรับมือปัญหาเฟนทานิลของสหรัฐฯ ด้วยจิตวิญญาณแห่งมนุษยธรรม โดยเมื่อปี 2019 จีนประกาศมติจัดสารที่เกี่ยวข้องกับเฟนทานิลเป็นหมวดหมู่อย่างเป็นทางการตามคำร้องขอของฝ่ายสหรัฐฯ และจีนเป็นประเทศแรกในโลกที่ทำเช่นนี้
จีนเป็นหนึ่งในประเทศที่มีนโยบายและแนวปฏิบัติปราบปรามยาเสพติดเข้มงวดมากที่สุดในโลก ทั้งยังมีส่วนร่วมกับสหรัฐฯ ในการปราบปรามยาเสพติดแบบขยายวงกว้างและเจาะลึก ซึ่งปรากฏผลสำเร็จเป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคน และผู้คนจากหลายภาคส่วนในสหรัฐฯ ได้แสดงความชื่นชมจีนในเรื่องนี้หลายครั้ง
หลินเผยว่าปัญหาเฟนทานิลเป็นเพียงข้ออ้างที่สหรัฐฯ ใช้เพื่อกำหนดภาษีและกดดันจีน สิ่งนี้ไม่อาจคลี่คลายความกังวลของสหรัฐฯ และมีแต่จะส่งผลต่อการเจรจาและความร่วมมือกับจีนในการปราบปรามยาเสพติด
สำหรับคำกล่าวอ้างของมาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ที่มีต่อจีนในประเด็นเฟนทานิล หลินชี้ว่าสิ่งที่รูบิโอพูดนั้นเต็มไปด้วยแนวคิดยุคสงครามเย็น ทั้งสนับสนุนการปิดกั้นและโยนความผิดให้ผู้อื่น ซึ่งเป็นการทำลายผลประโยชน์ของจีนอย่างร้ายแรง
ทั้งนี้ หลินกล่าวว่าจีนเสียใจและคัดค้านประเด็นนี้อย่างหนักแน่น การกดดัน การบีบบังคับ และการคุกคามไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องในการจัดการกับจีน พร้อมเรียกร้องให้สหรัฐฯ แก้ไขการกระทำผิดและกลับมาสู่เส้นทางที่ถูกต้องในการแก้ไขข้อกังวลของกันและกันผ่านการปรึกษาหารืออย่างเท่าเทียม