(แฟ้มภาพซินหัว : ผู้คนเดินบนท้องถนนในนครนิวยอร์กของสหรัฐฯ วันที่ 20 ก.ค. 2021)
นิวยอร์ก, 19 ธ.ค. (ซินหัว) -- สื่อสหรัฐฯ อ้างอิงข้อมูลจากเรเวลิโอ แล็บส์ (Revelio Labs) บริษัทวิเคราะห์ด้านทรัพยากรมนุษย์ รายงานว่าการเติบโตของจำนวนพนักงานในกลุ่มบริษัทสหรัฐฯ ที่อนุญาตให้ทำงานแบบผสมผสาน (hybrid work) พุ่งแซงหน้ากลุ่มบริษัทที่บังคับให้กลับมาทำงานในออฟฟิศ
รายงานระบุว่าตั้งแต่เกิดการระบาดใหญ่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ผู้บริหารบางคนบีบให้พนักงานใช้เวลาอยู่ในออฟฟิศมากขึ้น โดยอ้างว่าการทำงานในออฟฟิศจะส่งเสริมวัฒนธรรมการทำงาน ท่ามกลางเสียงต่อต้านจากเหล่าพนักงานจำนวนมาก
นักจิตวิทยาองค์กรและผู้เชี่ยวชาญการบริหารจัดการได้ตั้งข้อสมมุติว่าหลายบริษัทกำลังใช้ข้อบังคับนี้เป็นเครื่องมือกดดันให้คนลาออก ควบคู่กับการที่บริษัทพยายามลดต้นทุนและลดจำนวนพนักงานผ่านการเลิกจ้างแบบดั้งเดิม
ลูจาอิน่า อับเดลวาเฮด นักเศรษฐศาสตร์ของเรเวลิโอ กล่าวว่าผลการวิจัยจากเรเวลิโออิงข้อมูลการจ้างงานและอัตราการลาออกของบริษัทมหาชนในสหรัฐฯ ซึ่งผลการวิจัยเผยว่านโยบายกลับมาทำงานในออฟฟิศทำให้จำนวนพนักงานลดน้อยลง ส่วนบริษัทที่สามารถทำงานจากระยะไกลได้หรือมีความยืดหยุ่นนั้นเติบโตเร็วกว่า
ข้อมูลของเรเวลิโอเผยว่าตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2022 ซึ่งเป็นช่วงที่บริษัทหลายแห่งเริ่มผลักดันการบังคับให้กลับมาทำงานในออฟฟิศ กลุ่มธุรกิจที่อนุญาตให้ทำงานแบบยืดหยุ่นได้มีอัตราการเติบโตของพนักงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 เมื่อเทียบกับร้อยละ 1 ในกลุ่มบริษัทที่บังคับให้กลับมาทำงานในออฟฟิศ โดยอับเดลวาเฮดชี้ว่ากลุ่มพนักงานบริษัทที่ไม่ได้ถูกบังคับให้กลับมาทำงานในออฟฟิศมีความพึงพอใจในงานมากกว่า
อับเดลวาเฮดทิ้งท้ายว่าผลการวิจัยของเรเวลิโอสะท้อนให้เห็นถึงความเห็นพ้องต้องกันที่เพิ่มมากขึ้นในการวิจัยเชิงวิชาการเกี่ยวกับผลลัพธ์ที่มีต่อองค์กรจากการบังคับให้พนักงานกลับมาทำงานในออฟฟิศ