ปักกิ่ง, 26 มี.ค. (ซินหัว) -- สายเคเบิลโทรคมนาคมใต้น้ำมีบทบาทสำคัญต่อการเชื่อมต่อทั่วโลกและการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล และแม้ผู้คนส่วนใหญ่จะไม่เคยเห็นสายที่ฝังลึกอยู่ใต้ท้องทะเลนี้ แต่อุปกรณ์นี้กลับส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของมนุษย์ในหลายแง่มุม เช่น การเข้าถึงเครือข่าย รวมถึงความเร็วและต้นทุนของอินเทอร์เน็ต ขณะที่ข้อมูลจากสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศระบุว่าสายเคเบิลดังกล่าวรองรับปริมาณการรับส่งข้อมูลระหว่างประเทศราวร้อยละ 99

ปัจจุบันบริษัทจีนได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นหลักในการผลิต การก่อสร้าง และการบำรุงรักษาอุปกรณ์สายเคเบิลใต้น้ำระดับโลก ด้วยแรงกระตุ้นจากนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการพัฒนาตลอดหลายปี

รายงานการมีส่วนร่วมของจีนในการสร้างและบำรุงรักษาสายเคเบิลใต้น้ำเพื่อการสื่อสารระหว่างประเทศ ซึ่งเผยแพร่โดยสถาบันเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งประเทศจีน (CAICT) เมื่อวันอังคาร (25 มี.ค.) ระบุว่าขณะนี้บริษัทติดตั้งสายเคเบิลใต้น้ำของจีนได้วางสายเคเบิลใต้น้ำในมหาสมุทรแอตแลนติก แปซิฟิก และอินเดียรวมกว่า 70,000 กิโลเมตร ขณะที่เมื่อนับถึงสิ้นปี 2024 บริษัทจีนได้ลงทุนในระบบสายเคเบิลใต้น้ำระหว่างประเทศที่เปิดให้บริการอยู่ 17 ระบบ และมีส่วนร่วมในหลายโครงการสายเคเบิลใต้น้ำที่กำลังดำเนินการอยู่

มู่ชุนโป๋ วิศวกรอาวุโสของสถาบันฯ กล่าวว่าบริษัทจีนขยายกำลังการผลิตท่อส่งข้อมูลใยแก้วนำแสงใต้น้ำทั่วโลก และลดต้นทุนเครือข่ายสำหรับผู้คนและบริษัทต่างๆ ในประเทศและภูมิภาคกำลังพัฒนาหลายแห่ง พร้อมเสริมว่าสายเคเบิลใต้น้ำเพื่อการสื่อสารนั้นคล้ายกับคลองสุเอซและรถไฟด่วนจีน-ยุโรป เนื่องจากเป็นโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะระดับโลก และเป็นโครงสร้างพื้นฐานพลเรือนระหว่างประเทศที่สำคัญ

มู่กล่าวว่าสายเคเบิลเหล่านี้สำคัญต่อนานาประเทศในยุคดิจิทัลเนื่องจากดึงดูดการลงทุนในหลายสาขา เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และคลาวด์คอมพิวติง เพื่อสร้างรูปแบบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอีคอมเมิร์ซและระบบการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) และเพื่อสร้างงาน

ไฟเบอร์โฮม มารีน เน็ตเวิร์ก อีควิปเมนต์ บริษัทโทรคมนาคมของจีน ดำเนินโครงการก่อสร้างหรืออัปเกรดสายเคเบิลใต้น้ำหลายโครงการในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่เอ็ชเอ็มเอ็น เทคของจีนได้ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในสี่บริษัทรับเหมาก่อสร้าง วิศวกรรม และจัดซื้อรายใหญ่ระดับโลกที่สามารถส่งมอบระบบสายเคเบิลใต้น้ำข้ามทวีป และได้ส่งมอบระบบสายเคเบิลใต้น้ำไปแล้วมากกว่า 1 แสนกิโลเมตรทั่วโลก โดยมีการดำเนินงานครอบคลุมกว่า 70 ประเทศและภูมิภาค