(แฟ้มภาพซินหัว : สถานที่หลักสำหรับจัดนิทรรศการพืชสวนโลกนานาชาติเฉิงตู ปี 2024 ในเมืองเฉิงตู มณฑลซื่อชวนทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน วันที่ 21 เม.ย. 2024)

ปักกิ่ง, 10 ม.ค. (ซินหัว) -- เมื่อวันพฤหัสบดี (9 ม.ค.) คณะเจ้าหน้าที่ทางการจีนเปิดเผยว่าเฉิงตู เมืองเอกของมณฑลซื่อชวน (เสฉวน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน และเทศบาลนครฉงชิ่งที่อยู่ใกล้เคียง กำลังกลายเป็นทำเลผู้นำการพัฒนาที่มีคุณภาพสูงในภูมิภาคตะวันตกของประเทศ

เฉินย่าจวิน รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีน ระบุว่าเขตเศรษฐกิจเฉิงตู-ฉงชิ่งมีผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ระดับภูมิภาคอยู่ที่ 8.6 ล้านล้านหยวน (ราว 40.6 ล้านล้านบาท) ในปี 2024 คิดเป็นกว่าร้อยละ 6.5 ของทั้งหมดในประเทศ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 6.3 ในปี 2020

อย่างไรก็ดี ยังไม่มีการเผยแพร่ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมประจำปี 2024 ของเขตเศรษฐกิจฯ ที่ได้รับการยืนยันข้อมูลออกมา

เขตเศรษฐกิจเฉิงตู-ฉงชิ่ง ซึ่งมีประชากรมากกว่า  98 ล้านคน ถือเป็นอีกหนึ่งโครงการริเริ่มพัฒนาระดับภูมิภาคที่สำคัญของจีน ต่อจากยุทธศาสตร์ลักษณะเดียวกันในภูมิภาคปีกกิ่ง-เทียนจิน-เหอเป่ย เขตเศรษฐกิจสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซี และเขตเศรษฐกิจอ่าวกว่างตง-ฮ่องกง-มาเก๊า

ทั้งนี้ จีนมุ่งสร้างเขตเศรษฐกิจเฉิงตู-ฉงชิ่ง เป็นเครื่องจักรสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตของการพัฒนาที่มีคุณภาพสูงในภูมิภาคตะวันตกของประเทศ

ทั้งสองภูมิภาคอย่างเฉิงตูและฉงชิ่งได้เพิ่มความพยายามร่วมสร้างกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ให้ความสำคัญกับข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ การผลิตอุปกรณ์ วัสดุขั้นสูง และสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งบรรลุความก้าวหน้าอันน่าประทับใจ

ข้อมูลจากคณะกรรมการฯ ระบุว่าเขตเศรษฐกิจเฉิงตู-ฉงชิ่ง ครองส่วนแบ่งการผลิตยานยนต์และผลผลิตอุตสาหกรรมข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ของจีนมากกว่าร้อยละ 10

หลี่เหวินชิง รองผู้ว่าการมณฑลซื่อชวน กล่าวว่าสองในสามของไอแพด (iPad) ทั่วโลก คอมพิวเตอร์แล็ปท็อปเกือบ 80 ล้านเครื่อง และสมาร์ตโฟนมากกว่า 100 ล้านเครื่อง ถูกผลิตในเฉิงตูและฉงชิ่ง

นอกจากนั้นทั้งสองภูมิภาคยังยกระดับความร่วมมือในการส่งเสริมนวัตกรรมเทคโนโลยี ควบรวมมาตรฐานการเข้าถึงตลาด พัฒนากลไกตรวจสอบสิ่งแวดล้อมร่วมกัน และปรับปรุงการบริการสาธารณะตลอด 5 ปีที่ผ่านมา

(แฟ้มภาพซินหัว : นักท่องเที่ยวเยี่ยมชมจุดชมวิวหงหยาต้งในเทศบาลนครฉงชิ่งทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน วันที่ 23 ส.ค. 2024)