(แฟ้มภาพซินหัว : เครื่องบินอาร์เอ็กซ์4อีลงจอดหลังจากขึ้นบินเที่ยวปฐมฤกษ์ ในเมืองเสิ่นหยาง มณฑลเหลียวหนิงทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน วันที่ 28 ต.ค. 2019)
ปักกิ่ง, 2 ม.ค. (ซินหัว) -- วันพฤหัสบดี (2 ม.ค.) สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศจีน (CAAC) เผยว่าอาร์เอ็กซ์4อี (RX4E) เครื่องบินไฟฟ้า 4 ที่นั่งที่ผลิตในประเทศ กลายเป็นเครื่องบินไฟฟ้าขนาดเล็กที่ผลิตในจีนรุ่นแรกที่ได้รับใบรับรองแบบอากาศยาน ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าในด้านเทคโนโลยีการบินพลังงานใหม่
เครื่องบินอาร์เอ็กซ์4อีถือเป็นเครื่องบินไฟฟ้าล้วนลำแรกที่ออกแบบตามซีซีเออาร์-23 (CCAR-23) ข้อบังคับด้านการบินของจีนที่มุ่งกำกับความสมควรเดินอากาศสำหรับเครื่องบินประเภทปกติ รวมถึงเครื่องบินขนาดเล็กด้วย โดยผลิตภัณฑ์การบินจะต้องได้รับใบรับรองแบบอากาศยานซึ่งถือเป็นหนึ่งในใบรับรองความสมควรเดินอากาศก่อน จึงจะสามารถนำไปผลิตในจำนวนมากได้
เครื่องบินลำดังกล่าวมีปีกกว้าง 13.5 เมตร และความยาว 8.4 เมตร โดยมีน้ำหนักขึ้นบินสูงสุดอยู่ที่ 1,260 กิโลกรัม ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ลิเธียมที่มีกำลังไฟฟ้า 70 กิโลวัตต์ชั่วโมง และมีระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าที่สามารถส่งกำลังได้สูงสุด 140 กิโลวัตต์
เครื่องบินอาร์เอ็กซ์4อี ซึ่งพัฒนาขึ้นอย่างอิสระโดยสถาบันการบินทั่วไปเหลียวหนิงแห่งมหาวิทยาลัยการบินและอวกาศเสิ่นหยาง สามารถบินได้สูงสุดถึง 1.5 ชั่วโมง และมาพร้อมจุดแข็งหลายรายการ เช่น ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ มีเสียงเบา ต้นทุนการดำเนินงานต่ำ รวมถึงมีความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือสูง
รายงานคาดว่าเครื่องบินอาร์เอ็กซ์4อีสามารถนำไปใช้งานได้อย่างหลากหลาย เช่น การฝึกบิน การบินเที่ยวชมสถานที่ การบินท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ การถ่ายภาพมุมสูง และการสำรวจการบิน
นอกจากนั้น ขณะนี้มีการวางแผนพัฒนาเครื่องบินอาร์เอ็กซ์4อีเพิ่มเติมหลายรุ่นสำหรับใช้ระบบขับเคลื่อนด้วยน้ำ หิมะ และไฮโดรเจน รวมถึงรุ่นอื่นๆ ที่มีวัตถุประสงค์เฉพาะ เพื่อขยายขอบเขตการใช้งานและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันภายในตลาด
ข้อบังคับที่เกี่ยวข้องของจีนจัดให้เครื่องบินขนาดเล็กทั้งหมดเป็นเครื่องบินประเภทปกติ โดยเครื่องบินที่มีที่นั่งผู้โดยสารไม่เกิน 19 ที่นั่ง และมีน้ำหนักขึ้นบินสูงสุดที่ได้รับการรับรองไม่เกิน 8,618 กิโลกรัม จะได้รับใบรับรองประเภทปกตินี้
ทั้งนี้ กระบวนการขอใบรับรองแบบอากาศยาน ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อสำนักงานฯ อนุมัติใบคำร้องยื่นแบบในวันที่ 11 พ.ย. 2019 ใช้ระยะเวลา 5 ปีในการตรวจสอบความสมควรเดินอากาศทั้งหมดที่จำเป็นจนเสร็จสิ้น