
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภาพรวมสถานการณ์ธุรกิจไทยประจำเดือนกันยายน 2568 พบว่าการจัดตั้งธุรกิจใหม่ยังคงมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง สะท้อนความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวอย่างมีเสถียรภาพ โดยมีจำนวนธุรกิจจัดตั้งใหม่ 8,156 ราย เพิ่มขึ้นทั้งเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าและช่วงเดียวกันของปีก่อน
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ในเดือนกันยายนเพิ่มขึ้น 6.74% จากเดือนสิงหาคม 2568 ซึ่งมีจำนวน 7,641 ราย และเพิ่มขึ้น 3.67% จากเดือนกันยายนปีก่อนที่มี 7,867 ราย ขณะที่ทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 19,867 ล้านบาท แม้ลดลงจากเดือนก่อนหน้า แต่ยังถือเป็นระดับที่สะท้อนการขยายตัวของภาคธุรกิจในภาพรวม
เมื่อพิจารณาในช่วงไตรมาส 3 ปี 2568 (กรกฎาคม–กันยายน) พบว่ามีการจัดตั้งธุรกิจใหม่รวมทั้งสิ้น 23,507 ราย เพิ่มขึ้น 17.45% จากไตรมาส 2 ของปีเดียวกัน และเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ถือเป็นสัญญาณการฟื้นตัวของภาคธุรกิจไทยที่เริ่มกลับมาเคลื่อนไหวในทิศทางบวก โดยเฉพาะเมื่อแนวโน้มในไตรมาส 3 มีจำนวนธุรกิจจัดตั้งใหม่ใกล้เคียงกับไตรมาสแรก ซึ่งปกติจะเป็นช่วงที่มีการจดทะเบียนสูงที่สุดของปี
สำหรับภาพรวม 9 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม–กันยายน) มีจำนวนธุรกิจจัดตั้งใหม่รวม 67,345 ราย แม้ลดลงเล็กน้อย 3.36% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่มีมูลค่าทุนจดทะเบียนรวมกว่า 214,214 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.75% แสดงให้เห็นว่าธุรกิจที่จัดตั้งใหม่มีขนาดทุนจดทะเบียนเฉลี่ยที่สูงขึ้นและเน้นการลงทุนที่มีคุณภาพมากขึ้น
ด้านการจดทะเบียนเลิกกิจการ เดือนกันยายนมีจำนวน 2,150 ราย ลดลง 4.61% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน ถือเป็นระดับต่ำสุดในรอบสองปี แม้ว่าจะเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคม โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี มีธุรกิจเลิกกิจการรวม 11,879 ราย ลดลง 3% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ส่งผลให้อัตราส่วนการจัดตั้งธุรกิจใหม่ต่อการเลิกกิจการเฉลี่ยอยู่ที่ 6 ต่อ 1 ซึ่งถือเป็นระดับที่สะท้อนเสถียรภาพของภาคธุรกิจไทยในภาพรวม
ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 ระบุว่า ประเทศไทยมีนิติบุคคลที่จดทะเบียนทั้งหมด 2,032,174 ราย รวมทุนจดทะเบียนกว่า 31.28 ล้านล้านบาท ในจำนวนนี้มีนิติบุคคลที่ยังคงดำเนินกิจการอยู่ 976,857 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 22.94 ล้านล้านบาท โดยกลุ่มธุรกิจบริการยังคงครองสัดส่วนสูงสุด 54.27% ของนิติบุคคลทั้งหมด รองลงมาคือธุรกิจค้าส่ง–ค้าปลีก และธุรกิจผลิต
ขณะเดียวกัน นักลงทุนต่างชาติยังคงให้ความเชื่อมั่นต่อศักยภาพของเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 รวม 770 ราย มูลค่าการลงทุนรวม 253,116 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 88% จากช่วงเดียวกันของปี 2567
ประเทศที่เข้ามาลงทุนในไทยมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ญี่ปุ่น จำนวน 142 ราย มูลค่าการลงทุน 76,397 ล้านบาท ตามด้วยสิงคโปร์ 108 ราย มูลค่า 86,550 ล้านบาท จีน 99 ราย มูลค่า 21,925 ล้านบาท สหรัฐอเมริกา 116 ราย มูลค่า 4,368 ล้านบาท และฮ่องกง 82 ราย มูลค่า 12,624 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่าไทยยังคงเป็นจุดหมายการลงทุนสำคัญของภูมิภาคเอเชีย
เฉพาะเดือนกันยายน 2568 มีการอนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทย 83 ราย มูลค่าเงินลงทุนรวม 27,580 ล้านบาท โดยนักลงทุนหลักยังคงมาจากญี่ปุ่น สิงคโปร์ และจีน
ในส่วนของการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ตลอด 9 เดือนแรกของปี 2568 พบว่ามีการลงทุนจากต่างชาติรวม 222 ราย คิดเป็น 29% ของนักลงทุนต่างชาติทั้งหมด มูลค่าการลงทุนรวม 82,264 ล้านบาท โดยประเทศที่ลงทุนมากที่สุด ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน และสิงคโปร์ ซึ่งมีสัดส่วนรวมกว่า 70% ของเงินลงทุนทั้งหมดในพื้นที่ดังกล่าว
นายพูนพงษ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ตัวเลขทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศต่อศักยภาพของเศรษฐกิจไทย ที่ยังคงมีทิศทางการเติบโตอย่างต่อเนื่อง พร้อมตอกย้ำว่า “ประเทศไทยยังเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการลงทุนที่สำคัญของภูมิภาคอาเซียน”
แหล่งที่มา: