ทำความรู้จัก ‘ฉงชิ่ง’ มหานครสุดมหัศจรรย์เหนือจินตนาการ ผสานทุกมิติครบจบในเมืองเดียว จนได้ฉายาว่า ‘เมืองจีนย่อส่วน’ บินตรงจากไทยไปแค่ 3 ชม. ดูซีรีส์แปบเดียวก็ถึง ใครแพลนเที่ยวฉงชิ่งบอกเลยต้องอ่าน “รู้เขารู้เรา” เที่ยวร้อยครั้ง ฟินร้อยครั้ง!!เมืองภูเขาที่จริงใจหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ฉงชิ่งได้รับฉายาว่าเมือง 8 มิติ เพราะเป็นเมืองในภูเขาที่แท้ทรู อาคารบ้านเรือนต่างๆ จึงต้องออกแบบให้สอดรับกับสภาพทางภูมิศาสตร์ เช่น “หงหยาต้ง” หรืออาคารไม้ที่สร้างขึ้นริมหน้าผา, ลานจอดรถที่ลึกถึง 68 เมตร (เทียบเท่าตึก 20 ชั้น) สะพานรถยนต์ที่สูงละลิ่วประดุจรถไฟเหาะในสวนสนุก ที่นี่มีทั้งภูเขาและเนินเขาสูงต่ำหลายระดับ โดยสัดส่วนของภูเขาสูงกินพื้นที่ถึง 75.33% เนินเขา 15.60% พื้นที่ยกสูง 5.33% เป็นที่ราบรวมแล้วแค่ 3.74% เท่านั้น โอเค…พอเข้าใจแล้วว่าทำไมสถานีรถไฟใต้ดินถึงมีบันได 800 ขั้น และทำไมรถไฟถึงต้องวิ่งทะลุตึก
(แฟ้มภาพซินหัว : ตึกสูงในฉงชิ่งเชื่อมกันด้วยสะพานลอยข้ามตึก)
ลูกรักแยงซีเกียง นอกจากภูเขาแล้วธรรมชาติยังประทานแม่น้ำแยงซี หรือ แยงซีเกียง มาตุธารของจีนให้กับฉงชิ่ง โดยไหลผ่านพื้นที่ 18 เขตในฉงชิ่งเป็นระยะทางถึง 691 กม. คิดเป็นราวร้อยละ 11 ของความยาวรวมของแยงซี แม่น้ำแยงซียังแตกแขนงรากแก้วออกไปเป็นแม่น้ำสายย่อยหลักๆ อีกหลายสาย เช่น แม่น้ำอูเจียง แม่น้ำเจียหลิง ยังไม่รวมแม่น้ำสาขาเล็กๆ ที่มีลักษณะคล้ายรากฝอย เรียกได้ว่ามีครบทั้งภูเขาและแม่น้ำ โตรกสามผาแห่งแยงซีอันเลื่องชื่อของจีน ประกอบด้วยช่องแคบสามแห่ง หนึ่งในนั้นคือ “ช่องแคบชวีถัง” ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ของฉงชิ่ง บอกเลยว่าเป็นอีกหนึ่งที่เที่ยวที่สวยตราตรึงใจสุดๆ
(แฟ้มภาพซินหัว : จุดชมวิวช่องแคบชวีถังในฉงชิ่ง)เมฆหมอกเป็นใจมหานครฉงชิ่งตั้งอยู่ช่วงตอนกลางของแยงซี มีทรัพยากรน้ำอุดมสมบูรณ์ มีฝนตกชุก มีความชื้นสูง และมีภูเขาน้อยใหญ่ล้อมรอบจึงมีลมพัดเข้ามาได้น้อย ทำให้ที่นี่กลายเป็นเมืองแห่งหมอก โดยเฉลี่ยในหนึ่งปีจะมีวันที่หมอกลง 30-50 วัน (คิดคร่าวๆ ปีหนึ่งมี 1-2 เดือนที่เจอหมอก) ภาพรถไฟขบวนน้อยวิ่งผ่านทะเลหมอกบนสะพานแขวนจึงไม่ใช่แค่ฉากในนิยายแฟนตาซีสำหรับคนฉงชิ่ง
(หมอกปกคลุมนครฉงชิ่ง ที่มา: http://cq.news.cn/20231019/c8206d2084504e8da152e2c2c3a3fc89/c.html)เมืองลังถึง พร้อมนึ่งจนกว่าตับจะแลบเนื่องจากฉงชิ่งตั้งอยู่ในแถบละติจูดกลาง-ต่ำ และยังมีภูเขาสูงทางตอนเหนือที่เป็นดังปราการปกกันลมหนาวที่พัดเข้ามา ฤดูหนาวที่นี่จึงค่อนข้างอบอุ่น มีน้ำค้างแข็งและหิมะตกแค่เล็กน้อย แต่เมื่อเข้าสู่ฤดูร้อน นรกก็แค่ปากซอย เพราะภูเขาสูงรอบนอกกักเก็บความร้อนของพื้นผิวไว้ ทำให้ฉงชิ่งกลายสภาพเป็น “ลังถึง” ขนาดยักษ์ที่พร้อมนึ่งทุกสรรพสิ่งให้สุกไปด้วยกัน และในเดือนกรกฎาคม-สิงหาคมของทุกปีที่นี่จะมีสภาพอากาศที่ร้อนจัดและแห้งแล้งมาก จึงได้รับเพิ่มอีกฉายาว่า “เตาอบยักษ์” รู้ไหมว่าในเดือนสิงหาปี 2024 ฉงชิ่งมีวันที่อุณหภูมิ 40 องศาขึ้นไปมากถึง 11 วัน
(ภาพจากสำนักข่าวซินหัว : ทิวทัศน์ย่านใจกลางเมืองของเทศบาลนครฉงชิ่งของจีน วันที่ 20 ส.ค. 2024)บรรพชนของคนเมืองภูเขาหลายคนอาจได้ยินมาว่าหนุ่มสาวฉงชิ่งหน้าตาดี ผิวพรรณผุดผ่อง แถมหุ่นยังเป๊ะปัง (บ้านเกิดเซียวจ้านนะรู้ยัง) เนื่องจากมีอากาศชุ่มชื้น แถมยังต้องเดินขึ้นเขากันทุกวี่วันจนเอว S (หรือเอวเคล็ดในบางคน) แต่วันนี้เราจะมาพูดถึงบรรพบุรุษชาวฉงชิ่งกัน ก่อนอื่น ฉงชิ่งมีประชากร 30 กว่าล้านคน กระจุกตัวอยู่ในเขตเมืองหลักราว 66% ด้วยความที่สังคมสงบและเจริญ ที่นี่จึงมีประชากรหนาแน่นมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิงและชิง และประกอบด้วยผู้คนจากหลากหลายชาติพันธ์ุ
(แผนที่ยุคจ้านกั๋ว (รณรัฐ) ช่วงราว 475–221 ปีก่อนคริสต์ศักราช ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90) ช่วงต้นยุคจ้านกั๋ว (475-221 ก่อนคริสต์ศักราช) ชาวปาซึ่งมีถิ่นฐานในลุ่มน้ำฮั่นปะทะกับรัฐฉู่ จึงหอบผ้าผ่อนร่อนเร่ย้ายถิ่นหนีมายังพื้นที่สามโตรกของแม่น้ำแยงซี และมาตั้งเมืองหลวงขึ้นในแถบนี้ กลายเป็น “ผู้อพยพ” กลุ่มแรกสุดของฉงชิ่ง ก่อนที่จะหลอมรวมและกลืนกลายเข้ากับวัฒนธรรมของหลายชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ “ปาและสู่” หรือ “เสฉวน-ฉงชิ่ง” ในปัจจุบัน ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของจีน พื้นที่ตอนเหนือของจีนมักรบราฆ่าฟันกันไม่หยุด ต่อมาจึงมีชาวจีนเหนือลี้ภัยข้ามเทือกเขาไท่ปามายังพื้นที่แอ่งเสฉวนมากขึ้น เพราะสังคมที่นี่มีความมั่นคงและเจริญรุ่งเรือง
(แฟ้มภาพซินหัว : ผาหินแกะสลักต้าจู๋ ในเทศบาลนครฉงชิ่งทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน วันที่ 27 ก.ย. 2024) คนเหล่านี้นำเครื่องมือและเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาด้วย รวมไปถึงความเชื่อทางจิตวิญญาณ จนเป็นที่มาของผลงานแกะสลักหน้าผาหินต้าจู๋ยาว 500 เมตร ในสมัยราชวงศ์ซ่ง ที่บอกเล่าเรื่องราววิถีชีวิตของผู้คนสมัยโบราณ รวมถึงความเชื่อเรื่องนรกสวรรค์ในพุทธศาสนา ฉงชิ่งยังเป็นเทศบาลนครแห่งเดียวของจีนที่มีการจัดตั้งอำเภอปกครองตนเองของกลุ่มชาติพันธุ์ และมีมากถึง 4 อำเภอตัวมารดาเรื่องหม้อไฟมหานครที่ร้านอาหาร 8 ใน 10 บนถนนแทบจะเป็นร้านหม้อไฟ ทั้งเมืองอบอวลด้วยรสชาติและกลิ่นอายของพริกหมาล่าและน้ำซุปร้อนๆ จากเตา จนได้ฉายา “นครแห่งหม้อไฟ” มาเก็บเข้าคลังเพิ่มอีกหนึ่ง ความแปลกของฉงชิ่งคือ ร้านหม้อไฟที่ตกแต่งอย่างดูดีมีระดับมักจะไม่ค่อยมีลูกค้าเนืองแน่น แต่ร้านที่สร้างด้วยอิฐธรรมดาๆ โต๊ะและเตาเก่าๆ มักจะมีคนต่อคิวยาว นั่นเพราะคนฉงชิ่งมองว่าหม้อไฟจะอร่อยหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับบรรยากาศ หลายคนจึงชอบจับกลุ่มกินหม้อไฟร่วมกันแบบจอยๆ ชิลๆ สบายๆ
(หม้อไฟ 9 ช่อง สไตล์ฉงชิ่ง (ที่มา : https://www.sohu.com/a/278832335_100184365) ความพิเศษของหม้อไฟหมาล่าของที่นี่อยู่ที่น้ำมันพริกที่สืบทอดกันมายาวนานเรียกกันว่า “เหล่าโหยว” และ “ผีเสี้ยนโต้วป่าน” หรือเต้าเจี้ยวหมักจากถั่วปากอ้า ของขึ้นชื่ออำเภอผีของฉงชิ่ง คงพอเดาได้แล้วว่าคนที่นี่บริโภคน้ำมันกันฉ่ำมาก เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาฉงชิ่งจึงมีโครงการ “เปลี่ยนน้ำมันเหลือทิ้งให้เป็นพลังงาน” โดยนำมาพัฒนาเป็นน้ำมันเครื่องบิน ล่าสุดมีการนำไปใช้กับเครื่องบินโดยสารรุ่น C919 และ ARJ21 ที่พัฒนาโดยบริษัทโคแม็กของจีนยืนหนึ่งเรื่องฝีปากนอกจากรสปากจะจัดจ้านเพราะเป็นบ้านเกิดหม้อไฟหมาล่าแล้ว คนฉงชิ่งก็ขึ้นชื่อเรื่องปากแซบสะท้านทรวงด้วย สืบเนื่องจากภาษาถิ่นที่มีเอกลักษณ์ การสร้างสรรค์คำที่แม้ไม่ใช้คำหยาบแต่ฟังแล้วเจ็บจี๊ดแปลกๆ เคยมีมุกที่คนจีนแซวกันว่าบริษัทจีนที่ให้บริการรับจ้างด่าทั่วอาณาจักรจะคิดเงินเพิ่ม 10 หยวนถ้าลูกค้าจ้างไปด่าคนเซี่ยงไฮ้ เพิ่ม 30 หยวนถ้าเป็นคนตงเป่ย (ภาคอีสานของจีน) และ 50 หยวนสำหรับคนอู่ฮั่น ส่วนคนฉงชิ่งนั้นยังไม่เปิดให้บริการ เพราะจนถึงวันนี้ผู้เชี่ยวชาญด้านการด่าก็ยังไม่เคยด่าชนะคนฉงชิ่ง!
(ที่มา: https://sww.cq.gov.cn/sy_247/bmdt/mtsd/202302/t20230217_11618570.html)ตัวตึงเรื่องทอดสะพานฉงชิ่งมีอีกฉายาคือ “พิพิธภัณฑ์สะพานโลก” เพราะมีสะพานมากกว่า 20,000 แห่ง (รวมสะพานลอยและสะพานยกระดับ) แถมในจำนวนนี้ยังเป็นสะพานที่สร้างสถิติโลกมากถึง 17 แห่ง ฉงชิ่งวางแผนสร้างสะพานข้ามแม่น้ำ 57 แห่งในเขตเมืองหลัก เป็นสะพานข้ามแยงซี 28 แห่ง และสะพานข้ามแม่น้ำเจียหลิง 29 แห่ง ปัจจุบันสร้างเสร็จไปแล้ว 37 แห่ง และกำลังก่อสร้างอยู่ 7 แห่งในปัจจุบัน
(แฟ้มภาพซินหัว : Chongqing Cloud Eye Observatory ในเขตอวี๋จงของเทศบาลนครฉงชิ่งของจีน)รวมตำนานบทกวีแม่น้ำแยงซีคือช่องทางสำคัญในการเชื่อมต่อภาคตะวันออกและตะวันตกของจีนมาแต่โบราณ โตรกสามผาซึ่งเป็นประตูทางเข้าสู่ดินแดนปาและสู่ จึงเป็นเส้นทางเดินเรือที่มีผู้สัญจรมากหน้าหลายตา หนึ่งในนั้นคือเหล่าบัณฑิตและกวีที่ทิ้งร่องรอยจารึกการเดินทางของตนไว้ที่นี่ คำโบราณว่าไว้ “มาถึงสามผาย่อมมีบทกวี” ไม่ว่าจะเป็นหลี่ไป๋ ตู้ฝู่ ไป๋จวีอี้ ยอดกวีแห่งราชวงศ์ถัง หรือกวีชื่อดังสมัยซ่งอย่าง ซูตงโพ หรือ หวงถิงเจียน ล้วนเคยเดินทางผ่านช่องแคบสามผา และได้รับแรงบันดาลใจจากวิวธรรมชาติอันตระการตา จนอดไม่ไหวต้องเขียนกลอนพรรณาความรู้สึกหรือชื่นชมธรรมชาติเอาไว้ กวีหลายท่านยังมิวายจารึกตัวอักษรไว้บนโขดหินในแม่น้ำและโขดหินตามชายฝั่งด้วย ปัจจุบันข้อความจารึกบนหินเหล่านี้กลายมาเป็นตัวชี้วัดชั้นยอด ในการศึกษาระดับน้ำและสภาพทางอุทกวิทยาอื่นๆ ของแม่น้ำแยงซีในยุคสมัยนั้นๆ
(แฟ้มภาพซินหัว : เรือสำราญแล่นผ่านช่องแคบชวีถังในแม่น้ำแยงซี เทศบาลนครฉงชิ่งของจีน วันที่ 11 มี.ค. 2024)ความ (ไม่) ลับ ของรถรางทะลุตึกหนึ่งในแลนด์มาร์กฉงชิ่งคงหนีไม่พ้น “สถานีหลีจื่อป้า” (Liziba Station) ของรถไฟสาย 2 ของฉงชิ่ง ที่รถไฟจะวิ่งตัดทะลุตึก เพราะมีป้ายสถานีอยู่ข้างในตึก คำถามคือคุณคิดว่าตึกกับรถไฟอะไรสร้างก่อนกัน? คำตอบคือสร้างขึ้นพร้อมกันเมื่อปี 2000 ว่ากันว่าในตอนนั้นผู้พัฒนามอบข้อเสนอสุดทรงพลังให้กับผู้ที่ซื้อห้องชุดในตึกนี้ นั่นก็คือสิทธิ์ในการนั่งรถไฟฟ้าเมืองฉงชิ่งฟรีตลอดชีพ แม้จะถูกเรียกว่ารถไฟรางเบา แต่จริงๆ รถไฟฟ้าที่วิ่งบนฟ้าของฉงชิ่งเป็นรถไฟฟ้ารางเดี่ยวแบบคร่อมราง (Straddle Monorail) เพราะมีความสามารถในการไต่พื้นที่สูงชันได้มากถึง 60% ที่เหลือนอกจากนั้นก็จะเป็นรถไฟฟ้าใต้ดิน
(สถานีรถไฟหลีจื่อป้า ที่มา : https://www.cq.gov.cn/zjcq/cycq/jplyxl/dsy/dsjp/202409/t20240905_13599583.html)ชัยภูมิยุทธศาสตร์ชาติฉงชิ่งมี GDP เป็นอันดับ 4 ของประเทศจีน ใน 2024 จากอุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ ยานยนต์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และวัสดุขั้นสูง โดยครึ่งปีแรกของปี 2024 ฉงชิ่งผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 3.91 แสนคัน ครองอันดับหนึ่งของประเทศ เพิ่มขึ้นถึง 1.5 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ฉงชิ่งเป็นพื้นที่สำคัญเชิงยุทธศาสตร์หลายด้าน อาทิ เมืองศูนย์กลางในการพัฒนาภูมิภาคตะวันตกของประเทศ การพัฒนาเขตวงกลมเศรษฐกิจเมืองแฝดเฉิงตู-ฉงชิ่ง, ระเบียงการค้าทางบก-ทะเลระหว่างประเทศสายใหม่ (ILSTC)
(คณะสื่อมวลชนไทยผู้เข้าอบรมหลักสูตร “มองจีนยุคใหม่ ความท้าทายที่สื่อไทยควรรู้” รุ่นที่ 6 ซึ่งจัดโดยสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ภายใต้การสนับสนุนของสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย เยี่ยมชมค่ายรถยนต์ “ฉางอาน” ณ Changan Automobile Digital Intelligent Factory เทศบาลนครฉงชิ่งของจีน วันที่ 28 ต.ค. 2024) ทั้งยังเป็นเมืองศูนย์กลางการขนส่งระดับชาติที่ไม่ติดทะเลเพียงแห่งเดียว ที่มีความสามารถครบทั้ง 5 ประเภท ได้แก่ ท่าเรือบก ท่าเรือ ท่าอากาศยาน ภาคการผลิต และ การพาณิชย์ ฉงชิ่งมีบริการขนส่งทางรางเชื่อมต่อทางหลวงจีน-เมียนมา และรถไฟข้ามพรมแดนจีน-เวียดนาม โดยมีการนำเข้า ทุเรียน วัตถุดิบอาหาร และมันสำปะหลังจากประเทศในอาเซียน และส่งออกรถยนต์แบรนด์จีนสู่อาเซียน และในปี 2024 นี้ ฉงชิ่งก็เพิ่งเปิดบริการรถไฟขนส่งข้ามพรมแดนระหว่างจีน ลาว ไทย และ มาเลเซียความสัมพันธ์กับไทยปี 2019 ฉงชิ่งถูกจัดอันดับให้อยู่ในลำดับที่ 2 ของภาคตะวันตกของจีน ที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนมาไทยมากที่สุด ฉงชิ่งยังเป็นเมืองพี่เมืองน้องกับจังหวัดกรุงเทพฯ และเชียงใหม่ของไทย ปัจจุบันสายการบินที่ให้บริการบินตรงกรุงเทพ-ฉงชิ่งมีสองเจ้า ได้แก่ ไชน่าเอ็กซ์เพรสแอร์ไลน์ และแอร์เอเชีย จวบจนปี 2019 กลุ่มเครือโภคภัณฑ์ไทยได้จัดตั้งซูเปอร์มาเก็ตโลตัส 10 แห่งในนครฉงชิ่ง ปัจจุบันมีนักศึกษาไทยศึกษาอยู่ที่สถาบันการศึกษาต่างๆ ของฉงชิ่งกว่า 600 คน เช่น มหาวิทยาลัยซีหนาน วิทยาลัยอาชีวศึกษาและเทคนิควิศวกรรมฉงชิ่ง
(นักศึกษาชาวไทยและชาวจีนร่วมแสดงศิลปะการชงชาจีน เพื่อต้อนรับคณะสื่อมวลชนไทยในโครงการอบรม “มองจีนยุคใหม่ ความท้าทายที่สื่อไทยควรรู้” รุ่นที่ 6 ซึ่งจัดโดยสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ภายใต้การสนับสนุนของสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย วันที่ 28 ต.ค. 2024)
คาดว่าหลังอ่านจบแต่ละคนน่าจะพอมีภาพ “ฉงชิ่ง” ในใจกันบ้างแล้ว ใครเคยไปฉงชิ่งหรือมีแพลนไปเร็วๆ นี้มาแชร์ความประทับใจหรือข้อมูลกันได้เลย
ที่มา
https://www.jeenthainews.com/lifestyle/123451_20241105