ปักกิ่ง, 26 มิ.ย. (ซินหัว) -- คณะนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบหลักฐานบ่งชี้ว่ามนุษย์เคยใช้เปลวไฟเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมอย่างแพร่หลายมาตั้งแต่เมื่อ 50,000 ปีก่อน ซึ่งเร็วกว่าที่เคยเชื่อกันมามากและท้าทายมุมมองที่ยึดถือกันมานานว่าการจัดการเปลวไฟขนานใหญ่ของมนุษย์เริ่มต้นเมื่อประมาณ 3,000-4,000 ปีก่อน
ทีมนักวิจัยนานาชาติ นำโดยคณะนักวิจัยจากสถาบันสมุทรศาสตร์ สังกัดสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์แห่งชาติจีน ได้วิเคราะห์แกนตะกอนจากทะเลจีนตะวันออกที่มีอายุ 300,000 ปี และค้นพบกิจกรรมการใช้เปลวไฟเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทั่วเอเชียตะวันออกตั้งแต่เมื่อประมาณ 50,000 ปีก่อน
การศึกษาคาร์บอนไพโรเจนิก (pyrogenic carbon) ซึ่งเป็นซากพืชที่ถูกเผาไหม้แบบไม่สมบูรณ์ นำสู่การตรวจพบการใช้เปลวไฟเพิ่มขึ้นเป็นวงกว้างทั่วทวีปพร้อมกับช่วงที่มนุษย์โฮโมเซเปียนส์กระจายตัวไปทั่วโลก โดยก่อนหน้านี้มีการค้นพบการใช้เปลวไฟลักษณะเดียวกันเพิ่มขึ้นในยุโรป เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และออสเตรเลียในช่วงเวลาเดียวกันด้วย
จ้าวเต๋อโป๋ ผู้ร่วมเขียนผลการศึกษา กล่าวว่ายามจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นและกระจายตัว เปลวไฟกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับปรุงอาหาร ป้องกันภัย และเอาชีวิตรอดในสภาพภูมิอากาศหนาวเย็นจัดจากธารน้ำแข็ง โดยการใช้เปลวไฟที่แพร่หลายมีแนวโน้มส่งเสริมความก้าวหน้าทางวัฒนธรรมและเทคโนโลยี และเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศและวงจรคาร์บอนอย่างมีนัยสำคัญ
การค้นพบครั้งนี้บ่งชี้ว่าอิทธิพลของมนุษย์ต่อสภาพภูมิอากาศและพืชพรรณเกิดขึ้นเร็วกว่าที่แบบจำลองสภาพภูมิอากาศในปัจจุบันคาดการณ์ไว้อย่างมาก โดยว่านซื่อหมิง ผู้ร่วมเขียนผลการศึกษา กล่าวว่าหากมนุษย์ยุคแรกปรับเปลี่ยนวงจรคาร์บอนด้วยเปลวไฟตั้งแต่หลายหมื่นปีก่อน อาจต้องคิดทบทวนเส้นฐานของปฏิสัมพันธ์มนุษย์-สิ่งแวดล้อมในประวัติศาสตร์โลกกันใหม่
อนึ่ง มีการเผยแพร่ผลการศึกษาฉบับนี้ผ่านวารสารของสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติสหรัฐฯ (PNAS - Proceedings of the National Academy of Sciences) ฉบับล่าสุด
(แฟ้มภาพซินหัว : นักท่องเที่ยวชมการแสดงพ่นไฟริมแม่น้ำก้งสุ่ยในอำเภอเซวียนเอิน มณฑลหูเป่ยทางตอนกลางของจีน วันที่ 4 พ.ค. 2025)