ลอนดอน, 26 ก.พ. (ซินหัว) -- เมื่อวันอังคาร (25 ก.พ.) เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ประกาศเพิ่มการใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศเป็นร้อยละ 2.5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ภายในปี 2027 ซึ่งประกาศนี้มีขึ้นก่อนที่สตาร์เมอร์จะร่วมประชุมกับโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในกรุงวอชิงตันช่วงปลายสัปดาห์นี้
ปัจจุบันการใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศของสหราชอาณาจักรอยู่ที่ราวร้อยละ 2.3 ของจีดีพี การปรับเพิ่มข้างต้นจะทำให้งบกลาโหมรายปีเพิ่มขึ้นอีก 1.34 หมื่นล้านปอนด์ (ราว 5.74 แสนล้านบาท) ตั้งแต่ปี 2027 ซึ่งสตาร์เมอร์เสริมว่าตัวเลขนี้จะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 3 ของจีดีพีในรัฐสภาชุดต่อไป ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขทางเศรษฐกิจและการคลัง
สตาร์เมอร์ระบุว่าองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือหรือนาโต (NATO) และพันธมิตรระหว่างประเทศของสหราชอาณาจักรสามารถไว้วางใจได้ว่ารัฐบาลสหราชอาณาจักรจะให้ความสำคัญกับความมั่นคงร่วมกันของเรามาเป็นอันดับแรก
อย่างไรก็ดี รัฐบาลจะลดการใช้จ่ายสำหรับความช่วยเหลือในต่างประเทศจากร้อยละ 0.5 เป็นร้อยละ 0.3 ของจีดีพีในปี 2027 เพื่อระดมทุนในการใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศ ซึ่งสตาร์เมอร์ย้ำว่าสหราชอาณาจักรจะยังคงมีบทบาทด้านมนุษยธรรมที่สำคัญในยูเครน กาซา และภูมิภาคอื่นๆ ต่อไป รวมถึงการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสนับสนุนสุขภาพระดับโลก และความพยายามด้านวัคซีน
ก่อนหน้านี้ สหราชอาณาจักรเล็งจัดทำแผนเกี่ยวกับการเพิ่มงบด้านการป้องกันนี้ในฤดูใบไม้ผลิ ทว่าแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นทำให้รัฐบาลต้องเร่งดำเนินแผนดังกล่าว ท่ามกลางความกังวลว่ายุโรปอาจถูกกีดกันจากการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซียเพื่อยุติความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน
เมื่อคืนวันจันทร์ (24 ก.พ.) เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ซึ่งได้พบปะกับทรัมป์ที่วอชิงตัน กล่าวว่าการเจรจาสงบศึกระหว่างยูเครนและรัสเซียอาจบรรลุผลในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
(แฟ้มภาพซินหัว : เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร แถลงข่าวหลังการประกาศเพิ่มการใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศในกรุงลอนดอนของสหราชอาณาจักร วันที่ 25 ก.พ. 2025)