เหอเฝย, 9 มิ.ย. (ซินหัว) -- ขณะทุเรียนและผลไม้เมืองร้อนอื่นๆ ของไทยเสิร์ฟถึงโต๊ะของผู้บริโภคชาวจีนผ่านอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน บรรดายานยนต์พลังงานใหม่แบรนด์จีนที่ผลิตในท้องถิ่นไทยกำลังเป็นที่นิยมในหมู่ผู้บริโภคชาวไทยเช่นกัน ซึ่งผู้ให้สัมภาษณ์ชาวไทยหลายคนชี้ว่าความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) มีส่วนส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสองชาติ
ไทยนั้นได้รับเกียรติเป็นประเทศเกียรติยศของการประชุมความร่วมมือของรัฐบาลท้องถิ่นและกลุ่มเมืองมิตรภาพตามความตกลงฯ (หวงซาน) ประจำปี 2025 ซึ่งจัดขึ้นวันที่ 4-6 มิ.ย. ในเมืองหวงซาน มณฑลอันฮุยทางตะวันออกของจีน โดยเหล่าผู้เชี่ยวชาญจากจีนและต่างชาติได้ร่วมกันหารือเชิงลึกเกี่ยวกับการพัฒนาสินค้าเกษตร อีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน และยานยนต์พลังงานใหม่
จีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของไทยติดต่อกัน 12 ปี เมื่อเทียบกับบรรดาสมาชิกความตกลงฯ โดยข้อมูลสถิติระบุว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรของไทยสู่กลุ่มประเทศตามความตกลงฯ ในปี 2024 สูงถึง 1.87 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6.13 แสนล้านบาท) ซึ่งเป็นการส่งออกสินค้าเกษตรสู่จีนมากกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.28 แสนล้านบาท)
ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ความร่วมมือด้านการเกษตรระหว่างจีนกับไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การค้าสินค้าเกษตรแบบดั้งเดิมขยายสู่ความร่วมมือเชิงลึกด้านเทคโนโลยีและอีคอมเมิร์ซ โดยศูนย์ความร่วมมือเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สังกัดกระทรวงเกษตรและกิจการชนบทของจีน เปิดตัวแผนพัฒนาเชิงบูรณาการการเกษตรอัจฉริยะในไทยในปี 2023
ขณะเดียวกันกฎเกณฑ์การค้าทางดิจิทัลของความตกลงฯ ช่วยลดระยะเวลาของพิธีการศุลกากร และทำให้โมเดล "คลังสินค้าในต่างประเทศ+ร้านค้าในท้องถิ่น" กรุยทางการจำหน่ายสินค้าเฉพาะถิ่นอาเซียน เช่น ทุเรียนไทย ในตลาดจีนผ่านการไลฟ์สตรีมมิงหรือไลฟ์สด
โภคิน พลกุล อดีตประธานรัฐสภา และนายกสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีน ซึ่งเข้าร่วมการประชุมข้างต้น กล่าวว่าจีนเป็นผู้นำการเกษตรสมัยใหม่ และไทยสามารถเรียนรู้จากเทคโนโลยีขั้นสูงของจีนเพื่อทำการเกษตรแบบตรงจุด รวมถึงพัฒนาความร่วมมือด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI)
ปฤณัต อภิรัตน์ กงสุลใหญ่ไทย ณ นครเซี่ยงไฮ้ กล่าวว่าไทยจะเสริมสร้างความร่วมมือกับจีนในด้านต่างๆ เช่น เครื่องจักรการเกษตรสมัยใหม่และอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน เพื่อร่วมส่งเสริมการยกระดับคุณภาพและประสิทธิภาพของความร่วมมือทางการเกษตรระหว่างสองประเทศ
นอกจากนั้นจีนและไทยยังเดินหน้าขยายความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมเกิดใหม่เชิงยุทธศาสตร์ เช่น ยานยนต์พลังงานใหม่และพลังงานสีเขียว ต่อยอดความสำเร็จของความร่วมมือด้านดั้งเดิมอย่างการเกษตร ท่ามกลางลัทธิเอกภาพนิยมหรือการกระทำเพียงฝ่ายเดียวและการกีดกันทางการค้าที่เพิ่มขึ้น
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไทยเป็นเสาหลักของอุตสาหกรรมยานยนต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และวางเป้าหมายการพัฒนาที่ชัดเจนว่ายานยนต์ไฟฟ้าจะครองสัดส่วนการผลิตราวร้อยละ 30 ภายในปี 2030 และบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050
โภคินกล่าวว่าทุกฝ่ายต้องส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน ความเป็นอิสระทางเทคโนโลยี ผลประโยชน์จากการพัฒนา และการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค เพื่อปลดล็อกศักยภาพของความตกลงฯ อย่างเต็มรูปแบบ โดยจีนเป็นผู้นำด้านสารเคมีแบตเตอรี่และการบูรณาการแนวดิ่ง ขณะไทย มาเลเซีย และเวียดนามกำลังเป็นจุดเชื่อมสำคัญในการประกอบ ทดสอบ และสร้างนวัตกรรมยานยนต์ ขณะยานยนต์พลังงานใหม่และพลังงานแสงอาทิตย์เป็นสัญลักษณ์ของความร่วมมือใหม่ในภูมิภาคที่ผสานความมั่นคงทางภูมิอากาศเข้ากับการมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจ
ปัจจุบันกลุ่มผู้ผลิตยานยนต์ของจีน เช่น บีวายดี (BYD) เกรท วอลล์ มอเตอร์ (Great Wall Motors) และเอสเอไอซี มอเตอร์ (SAIC Motor) ได้ลงทุนด้านยานยนต์ไฟฟ้าในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) มากกว่า 2.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 7.87 หมื่นล้านบาท) ขณะเดียวกันบริษัทของไทยและจีนร่วมก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ในจังหวัดนครราชสีมาและอุบลราชธานี ซึ่งบูรณาการการบริการโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะไว้ด้วย
สุโรจน์ แสงสนิท นายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย กล่าวว่าแบรนด์จีนที่มีชื่อเสียงหลายแบรนด์เลือกไทยเป็นฐานการผลิตและจุดเชื่อมสู่ตลาดอาเซียน โดยไทย จีน และประเทศสมาชิกอาเซียมีศักยภาพมหาศาลในความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์นี้
(แฟ้มภาพซินหัว : พิธีลงนามโครงการบนเวทีของการประชุมความร่วมมือของรัฐบาลท้องถิ่นและกลุ่มเมืองมิตรภาพตามความตกลงฯ (หวงซาน) ประจำปี 2025 วันที่ 5 มิ.ย. 2025)
(แฟ้มภาพซินหัว : คนถ่ายรูปที่การประชุมความร่วมมือของรัฐบาลท้องถิ่นและกลุ่มเมืองมิตรภาพตามความตกลงฯ (หวงซาน) ประจำปี 2025 ในเมืองหวงซาน มณฑลอันฮุยทางตะวันออกของจีน วันที่ 5 มิ.ย. 2025)