บรัสเซลส์, 24 เม.ย. (ซินหัว) -- เมื่อวันพุธ (23 เม.ย.) คณะกรรมาธิการยุโรปประกาศจะสั่งปรับบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ อย่างแอปเปิล (Apple) และเมตา (Meta) เป็นมูลค่ารวม 700 ล้านยูโร (ราว 2.7 หมื่นล้านบาท) จากการละเมิดกฎหมายตลาดดิจิทัลของสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งนับเป็นการตัดสินกรณีไม่ปฏิบัติตามกฎหมายครั้งแรกภายใต้ระเบียบใหม่นี้

คณะกรรมาธิการฯ ระบุว่าแอปเปิลถูกปรับเงิน 500 ล้านยูโร (ราว 1.9 หมื่นล้านบาท) จากการห้ามไม่ให้นักพัฒนาแอปพลิเคชันแจ้งผู้ใช้งานเกี่ยวกับตัวเลือกการซื้อสินค้านอกเหนือจากแอป สโตร์ (App Store) ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อห้ามเรื่องการชี้นำ (anti-steering) ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายตลาดดิจิทัล โดยกฎของแอปเปิลขัดขวางไม่ให้นักพัฒนาได้รับประโยชน์จากช่องทางการจัดจำหน่ายภายนอกอย่างเต็มที่ และจำกัดผู้บริโภคจากการเข้าถึงข้อเสนอที่อาจมีราคาถูกกว่าที่จำหน่ายภายนอกแอป สโตร์

ขณะที่เมตา บริษัทแม่ของเฟซบุ๊ก (Facebook) และอินสตาแกรม (Instagram) ถูกปรับ 200 ล้านยูโร (ราว 7.6 พันล้านบาท) จากกรณีใช้โมเดล "ยินยอมหรือชำระเงิน" (Consent or Pay) ที่เปิดตัวในปี 2023 ภายใต้ระบบดังกล่าว ผู้ใช้งานในสหภาพยุโรปจะต้องยินยอมให้ใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของตนเพื่อการโฆษณาแบบกำหนดเป้าหมาย หรือชำระค่าสมัครสมาชิกรายเดือนเพื่อประสบการณ์การใช้งานแบบไม่มีโฆษณา

คณะกรรมาธิการฯ พบว่าโมเดลดังกล่าวไม่สามารถมอบทางเลือกที่แท้จริงและใช้ข้อมูลน้อยให้แก่ผู้ใช้งานได้ และไม่ได้สนับสนุนสิทธิในการให้ความยินยอมอย่างอิสระต่อการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลเพียงพอ คณะกรรมาธิการฯ จึงได้เรียกร้องให้ทั้งสองบริษัทปฏิบัติตามคำตัดสินภายใน 60 วัน ซึ่งหากไม่ปฏิบัติตามอาจส่งผลให้ต้องจ่ายค่าปรับเป็นระยะ

เมตาตอบโต้คำตัดสินดังกล่าว พร้อมกล่าวหาว่าสหภาพยุโรปพยายามที่จะขัดขวางธุรกิจที่ประสบความสำเร็จของอเมริกา ด้านโจเอล แคปแลน หัวหน้าฝ่ายกิจการระดับโลกของเมตา กล่าวในแถลงการณ์ว่านี่ไม่ใช่แค่เรื่องของค่าปรับเท่านั้น แต่คณะกรรมาธิการฯ ยังบีบบังคับให้เราเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจและกำหนดให้เราเสนอบริการที่ด้อยกว่า

บทความก่อนหน้า

สำรวจพบอัตรา 'อ่านหนังสือ' ของผู้ใหญ่ในจีนสูงแตะ 82.1%

บทความถัดไป

ทรัมป์เตรียมปิดหน่วยงานให้ทุนช่วย 'ประเทศกำลังพัฒนา