
กรมทรัพย์สินทางปัญญาประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญ "ทุเรียนหมอนทองเขาบรรทัด" จ.ตราด สร้างรายได้สูงสุดในกลุ่มสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 ด้วยมูลค่ากว่า 11,047 ล้านบาท พร้อมเผย "ตรา GI" เป็นกุญแจสำคัญในการยกระดับคุณภาพ สร้างความเชื่อมั่น และเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ชุมชนไทยอย่างยั่งยืน
(วันที่ 22 ตุลาคม 2568) นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานส่งเสริมและคุ้มครองสินค้า GI ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม - กันยายน 2568) ว่าประสบความสำเร็จอย่างสูง สินค้า GI ไทยได้รับความนิยมจากผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมกว่า 46,000 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นสินค้าเกษตรและอาหาร
ทุเรียน GI กวาดรายได้แชมป์โลก
สินค้า GI ไทยที่ทำรายได้สูงสุด 10 อันดับแรกในปี 2568 มีสินค้าทุเรียน GI นำทัพ 3 อันดับแรก โดยอันดับ 1 คือ "ทุเรียนหมอนทองเขาบรรทัด" จังหวัดตราด ทำรายได้สูงสุดถึง 11,047 ล้านบาท ลักษณะเด่นของทุเรียนชนิดนี้คือ เนื้อสีเหลืองอ่อน รสชาติหวานมันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งปลูกในบริเวณแนวเทือกเขาบรรทัดที่ดินอุดมสมบูรณ์ และได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมและแรงลมทะเล ทำให้เกิดอาการเครียดและสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ก่อนพื้นที่อื่น
อันดับ 2: "ทุเรียนสะเด็ดน้ำยะลา" มูลค่า 6,661 ล้านบาท มีจุดเด่นที่เนื้อแห้ง ไม่แฉะ เส้นใยน้อย รสชาติหวานมัน
อันดับ 3: "ทุเรียนหมอนทองระยอง" มูลค่า 4,886 ล้านบาท มีลักษณะเปลือกบาง พูชัด เนื้อหนา แห้ง เหนียว รสชาติหวานมันกลมกล่อมและมีกลิ่นหอมอ่อน
อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญากล่าวว่า ทุเรียน GI ทั้ง 3 รายการ มีตลาดส่งออกสำคัญคือประเทศจีน ซึ่งสะท้อนศักยภาพและความต้องการทุเรียนไทยคุณภาพสูงในตลาดโลก
สินค้า GI ท็อป 10 สร้างรายได้หลักพันล้าน
นอกจากทุเรียนแล้ว ยังมีสินค้า GI ไทยที่มีศักยภาพสูงติดอันดับ Top 10 ได้แก่ ข้าวหอมมะลิดินภูเขาไฟบุรีรัมย์ (4,812 ล้านบาท), มะพร้าวทับสะแก (3,776 ล้านบาท), เหล้าแป้ (3,632 ล้านบาท), มะขามหวานเพชรบูรณ์ (3,363 ล้านบาท), หอมแดงศรีสะเกษ (2,882 ล้านบาท), กุ้งก้ามกรามบางแพ (2,570 ล้านบาท) และ ทุเรียนบางนรา (2,544 ล้านบาท)
โดยเฉพาะ "เหล้าแป้" ที่เป็นสินค้า GI น้องใหม่ที่เพิ่งขึ้นทะเบียนในเดือนกรกฎาคม 2568 แต่สามารถทำรายได้ติด Top 10 (อันดับ 6) ได้อย่างรวดเร็ว สะท้อนคุณภาพสินค้าท้องถิ่นไทยที่ครองใจผู้บริโภค
"ตรา GI" กลไกขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืน
อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กล่าวเสริมว่า ความสำเร็จนี้มาจากกลไกการขับเคลื่อนที่สำคัญ 3 ด้าน ได้แก่
การคุ้มครองและรับรองคุณภาพ (GI Protection): ตรา GI ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจในแหล่งผลิตและคุณภาพ มีระบบควบคุมคุณภาพมาตรฐานอย่างเข้มงวด และตรวจสอบย้อนกลับได้ ซึ่งส่งผลให้ราคาขายสินค้าหลังขึ้นทะเบียน GI เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 2-5 เท่า
การเข้าถึงตลาด: ส่งเสริมสินค้าท้องถิ่นคุณภาพพรีเมียมให้ขยายตลาดไปยังประเทศเป้าหมายที่มีกำลังซื้อสูง เช่น จีน มาเลเซีย ญี่ปุ่น รวมถึงการจำหน่ายผ่านช่องทางหลากหลายทั้งออฟไลน์และออนไลน์
การต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่ม: ยกระดับสินค้า GI สู่เมนูอาหารระดับ Fine Dining การแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า การเชื่อมโยงแหล่งผลิตกับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม รวมถึงการพัฒนาภาพลักษณ์และบรรจุภัณฑ์ที่ทันสมัย เช่น การออกแบบบรรจุภัณฑ์ "Art of Durian" สำหรับทุเรียนหมอนทองระยอง
อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ย้ำว่า กรมฯ พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบาย Quick Big Win ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นางศุภจี สุธรรมพันธุ์) ที่มุ่งให้ GI เป็นกลไกหลักในการสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจชุมชนอย่างยั่งยืน และทำให้ตรา GI เป็นสัญลักษณ์ของ "สินค้าดี มีคุณภาพ คู่แหล่งกำเนิด" ของประเทศไทย ที่ไม่เพียงสร้างรายได้ระดับหมื่นล้าน แต่ยังช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและผู้ประกอบการท้องถิ่นให้มีความมั่นคงยิ่งขึ้นต่อไป
แหล่งที่มา: